วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


การจำแนกประเภทของดอกไม้

      การจำแนกประเภทของดอกสามารถแบ่งได้หลายประเภทด้วยกัน โดยใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
ใช้ส่วนประกอบที่เป็นโครงสร้างหลัก คือกลีบดอก กลีบเลี้ยง เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย สามารถแบ่งได้ดังนี้
         1. ดอกสมบูรณ์ ( Complete Flower ) คือดอกไม้ที่มีองค์ประกอบของโครงสร้างหลักครบ     ทั้ง 4 ส่วน เช่น ดอกกล้วยไม้ ดอกกุหลาบ  ดอกชบา   ดอกบัว ดอกมะเขือ เป็นต้น                                                                                                                 
          2. ดอกไม่สมบูรณ์ (Incomplete Flower )     คือดอกที่โครงสร้างหลักไม่ครบทั้ง 4 ส่วน        อาจจะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป เช่น ดอกมะละกอ    ดอกบวบ   ดอกตำลึง  เป็นต้น
ใช้จำนวนเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ว่าอยู่ในดอกเดียวกันหรือไม่ แบ่งได้ 2 ประเภทคือ

           1. ดอกสมบูรณ์เพศ (Perfect flower)  เป็นดอกมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน เช่นดอกชบา ดอกมะเขืือ  ดอกบัวหลวง    
    
           2. ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ( Inperfect flower ) เป็นดอกที่ขาดเกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมีย ตัวใดตัวหนึ่งบนดอกนั้น  เช่น ตำลึง ดอกบวบ


    ใช้จำนวนดอกบนก้านชููดอก  แบ่งได้ดังน
      1. ดอกเดี่ยว ( Solitary flower)  จะมีดอกดอกเดียวอยู่บนก้านชูดอก 1 ก้าน เช่น ดอกกุหลาบ ดอกพู่ระหง  ดอกชบา ดอกมะเขือ
                         ดอกฝรั่ง     ดอกจำปี  ดอกฟักทอง
 เป็นต้น
      2. 
ดอกช่อ ( Inflorescences flower) คือดอกที่มีหลาย ๆ ดอกอยู่บนก้านชูดอก 1 ก้าน   เช่น     ดอกหางนกยูง ดอกหอม   ดอกกุ้ยช่าย
                      ดอกคะน้าดอกขี้เหล็ก เป็นต้น
                                                       
                                                            ดอกช่อ    และ   ดอกเดี่ยว   

    ใช้การติดอยู่บนฐานรองดอก  วงต่าง ๆ ของดอกตั้งอยู่บนฐานรองดอกในลักษณะต่าง ๆ กัน ซึ่งแบ่งได้ 3 แบบ คือ
     1.ไฮโพจินนี ( Hypogyny ) คือสภาพของดอกที่เกสรตัวเมียติดอยู่ที่ปลายฐานรองดอกที่ค่อนข้างยาวโดยอยู่เหนือส่วนอื่น ๆ ของดอก ดอกชนิดนี้เรียก   ว่า ดอกไฮโพจินนัส  ( Hypogynous flower ) ทำให้รังไข่อยู่เหนือฐานรองดอก เรียกว่า ซูพีเรียร์โอวารี (Superior ovary) ตัวอย่างเช่น   ดอกมะเขือ มะเขือเทศ จำปี องุ่น มะละกอ ถั่ว ข้าวโพด มะม่วงหิมพานต์ ยี่หุบ บัว ส้ม บานบุรี เป็นต้น
    2.  เพริจินนี (Perigyny ) คือสภาพของดอกที่ฐานรองดอกโค้งล้อมรอบเกสรตัวเมียมีลักษณะคล้ายถ้วยแชมเปญที่มีเกสรตัวเมียอยู่ตรงกลางส่วนอื่น ๆ  ของดอก คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรตัวผู้มาติดที่ขอบฐานรองดอก จึงล้อมรอบเกสรตัวเมียเรียกดอกชนิดนี้ว่าดอกเพริจินนัส (Perigynous flower ) ตัวอย่างเช่น ดอกเชอรี กุหลาบ
     3. เอพิจินนี ( Epigynous ) คือสภาพของดอกที่ฐานรองดอกโอบรอบเกสรตัวเมียทั้งหมด  ทำให้เกสรตัวเมียอยู่ใต้ส่วนอื่น ๆของดอก ดอกแบบนี้จึงเรียก   ว่า ดอกเอพิจินนัส ( Epigynous   flower ) ทำให้รังไข่อยู่ใต้ฐานรองดอก เรียกว่า อินฟิเรียร์โอวารี ( Inferior ovary ) ตัวอย่างเช่น   ดอกเล็ก ๆ ของทานตะวัน แอปเปิ้ล ทับทิม กล้วย ฝรั่ง ชมพู่ ฟักทอง แตงกวา บวบ พลับพลึง เป็นต้น 

 รูปร่างและส่วนประกอบของดอกไม้้
       ในปัจจุบันพืชดอกมีจำนวนมากกว่า 200,000  สปีชีส์   และคาดว่าพืชดอกเริ่มปรากฎในโลกเมื่อประมาณ  135 ล้านปีมาแล้วดอกไม้เป็นอวัยวะสืบพันธุ์ของพืชมีดอก ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงมาจากกิ่ง ดอกเจริญเติบโตมาจากส่วนที่เรียกว่าตาดอก ( Flower bud )   ซึ่งเป็นกิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทำหน้าที่ในการสืบพันธุ์     ดอกชูอยู่เหนือก้านดอก    ( Pedicel )      และอยู่ติดกับฐานรองดอก                ( Receptacle ) ซึ่งเดิมเป็นส่วนของลำต้น          รูปร่างและขนาดของดอก แตกต่างกันมากมาย   อีกทั้งสีและการเรียงตัวของส่วนต่าง ๆ ของดอก    ก็แตกต่างกัน เช่น ดอกแหน มีขนาดเล็กมากจนมอง
แทบไม่เห็น ถึงอย่างไรก็ตาม ดอกประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญอยู่ 4 ส่วนด้วยกัน   ดังจะได้ศึกษาูในหน้าต่อไป
                                                                   


ส่วนประกอบของดอกไม้


      1. กลีบเลี้ยง Sepal เป็นกลีบเล็ก ๆ สีเขียว อยู่ล่างสุดของดอก  ในระยะที่ดอก เริ่มผลิดอกออกมาใหม่ ๆ เราจะเห็นดอกตูมสีเขียวขยายโตขึ้น  สีเขียวที่หุ้มดอกจะแยกออกมารองรับกลีบดอก  กลีบสีเขียวนั้นคือกลีบเลี้ยงนั่นเอง   กลีบเลี้ยงจะทําหน้าที่ห่อหุ้มดอกตูมและป้องกันอันตรายให้้กลีบดอกในขณะที่ยังอ่อนอยู่
      
    2. กลีบดอก  
( Petal ) เป็นส่วนที่อยู่เหนือขึ้นมาจากกลีบเลี้ยง  กลีบดอกส่นใหญ่   จะมีสีสวยสะุุุดุุดตาหลายชนิดมีกลิ่นหอม  ความสวยงามของดอกจะขึ้นอยู่กับสี ลักษณะ  และจํานวนของกลีบดอกเป็นสําคัญ กลีบดอกเป็นส่วนประกอบของ ดอกที่บอบชํ้าง่ายและร่วงโรยเร็วกว่าส่วนประกอบอื่นๆ
      
    3. เกสรตัวตัวผู้ 
( Stamen )   มีลักษณะทั้วไปเป็นคล้ายหลอดอันเล็กๆ มักมีสีขาว ปลายหลอดจะมีอับใส่ละอองเรณูรูปร่างค่อนข้างกลมเกสรตัวผู้จะอยู่ถัดจากกลีบดอกเข้ามาข้างในดอก   ก้านของเกสรตัวผู้อาจจะติดกับกลีบดอก  หรือแยกออกมาต่างหากก็ได้  แล้วแต่ชนิดของพืช      ดอกไ้ม้ดอกหนึ่ง ๆ  อาจมีเกสรตัวผ ู้ตั้งแต่หนึ่งอันไปจนถึงหลาย ๆ อัน
     
      4. เกสรตัวเมีย 
( Pistil )  เป็นส่วนที่อยู่ตรงกลางของดอก       อาจจะมีอันเดียวหรือหลายอันก็ได้  เกสรตัวเมียโดยทั่วไปจะประกอบด้วยรังไข่ที่อยู่ล่างสุด    บริเวณฐานรองดอก  ภายในรังไข่จะบรรจุไข่อ่อนเล็กๆ ไว้  เหนือรังไข่จะเป็นท่อยาวขึ้นมา  เรียกว่า  ก้านชูเกสร ในท่อของก้านชูเกสรจะมีน้ำีเหนียว ๆ อยู่  เพื่อนำสเปิิร์มของเกสรตัวผู้ลงมาผสมกับไข่ในรังไข่ของเกสรตัวเมีย และบนสุดเป็นยอดเกสรตัวเมีย ซึ่งมีนํ้า เหนียวๆ อยู่เช่นกัน นํ้าเหนียวๆ นี้จะช่วยยึดเกาะเกสรตัวผู้ให้เข้ามาผสมกับเกสรตัวเมียได้ดีขึ้น



ข้อมูลมาจาก:  www.thaigoodview.com/library/teachershow/.../sec02p03.html 

3 ความคิดเห็น: